ข้อแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM ที่ควรรู้ก่อนธุรกิจของคุณจะออกมาสู้กับการตลาดออนไลน์

ข้อแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM

บทความนี้เราจะมานำเสนอการทำการตลาดรูปแบบ SEO และ SEM ใน Google ที่จะมาช่วยให้ธุรกิจของคุณติดอันดับการค้นหาใน Search engine รับรองว่าถ้าคุณลงทุนกับการตลาด 2 รูปแบบนี้ เพียงแค่ครั้งเดียว ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมคุ้มเกินคาดแน่นอน

ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้คนในสังคม เพียงแค่เราลืมตาตื่นมาเราก็พบเจอกับโลกออนไลน์เป็นสิ่งแรกของการเริ่มต้นวันใหม่ และก่อนที่เราหลับตาเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราของการหลับใหลเราก็เห็นโลกออนไลน์เป็นสิ่งสุดท้ายของค่ำคืนในแต่ละวัน ฉะนั้นโลกออนไลน์จึงมีส่วนสำคัญมากในการทำการตลาด เพราะผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีปฏิสัมพันธ์ในพื้นที่ออนไลน์ตลอดเวลา

ส่งผลทำให้การตลาดออนไลน์ล้วนเป็นที่สนใจของเจ้าของธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เราจะเห็นได้ว่าถ้าธุรกิจไหนทำการตลาดออนไลน์ได้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากที่สุดในปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่ได้กลับมา คือรายได้จำนวนมากจากผลประกอบการที่ได้มาจากการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งรายได้ส่วนนี้มันจะไปช่วยเพิ่มมูลค่าของกิจการให้สามารถเติบโตไปได้อนาคต

Contents hide

SEO และ SEM คืออะไร? ข้อแตกต่างง่าย ๆ ที่หลายคนยังแยกไม่ออก

ในการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจกับการตลาด 2 รูปแบบนี้ มีผู้คนจำนวนมากค่อนข้างจะสับสนกันระหว่าง 2 รูปแบบนี้ เนื่องจากมีตัวอักษรที่เหมือนกันมากต่างกันเพียงแค่ตัวสุดท้ายนั้นคือ ตัว O และ ตัว M ในบทความนี้เราจะบอกเคล็ดลับวิธีง่าย ๆ ที่จะมาทำให้คุณแยกความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้น

SEO ย่อมาจาก (SearchEngineOptimisation)

คือการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine เมื่อค้นหาด้วย keyword ที่กำหนดไว้ โดยไม่ซื้อโฆษณา หลักการจำง่าย ๆ คือ SEO คล้ายกับ โอกาส (Opportunity) หมายถึงบทความที่เราใส่คำ Keyword มีโอกาสที่จะถูก Search Engine ติดอันดับการค้นหาได้ แต่ทุกโอกาสย่อมมีความเสี่ยง

นั่นหมายถึง บทความของเรามีความเสี่ยงที่จะไม่ถูก Search Engine ไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการได้ เพราะไม่มีเครื่องมือไหนจะช่วยการันตีได้ชัดว่า Keyword ในบทความของเราจะติดอันดับการค้นหา นอกจากระบบของ Google เท่านั้น การเขียนบทความ SEO ทำได้เพียงเขียนครอบคลุมทุก Keyword ที่คิดว่าน่าจะมีโอกาสถูก Search Engine ในระบบ อาจทำให้บทความของคุณไม่ได้ไปสู่เป้าหมายที่คุณต้องการได้อย่างครอบคลุม

SEO-ย่อมาจากอะไร
SEM-ย่อมาจากอะไร

SEM ย่อมาจาก (SearchEngineMarketing)

คือการทำการตลาดบน Search Engine โดยการซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บติดอันดับหน้าแรก เมื่อค้นหา keyword ตามที่กำหนดไว้ จะมีคำว่า AD หรือ โฆษณา ปรากฏอยู่มุมบนด้านซ้ายมือ และจะเสียเงินตามจำนวนคลิกที่กดเข้าไป

หลักการจำง่าย ๆ คือ SEM คล้ายการส่งจดหมายแบบ EMS ซึ่งเราต้องจ่ายเงินมากเป็นพิเศษเพื่อให้จดหมายของเราไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น

ระหว่าง SEO และ SEM ควรลงทุนทำการตลาดแบบไหนดี

หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจคร่าว ๆ เกี่ยวกับข้อแตกต่างเบื้องต้นแล้ว หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่สนใจอยากลงทุนเกี่ยวกับ การตลาดแต่ยังไม่รู้จะเลือกลงทุนการตลาดแบบไหนดีที่ตอบโจทย์ธุรกิจ บทความเรามีข้อแนะนำสำหรับการเลือกลงทุนฉบับเข้าใจง่ายมานำเสนอ

1.การลงทุนการตลาดในบทความ SEO เปรียบเสมือนการลงทุนในหุ้นเน้นคุณค่า (Value Investment )

นั่นคือ เราลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาวในอนาคต โดยเราลงทุนจ้างเอเจนซี่มาเขียนบทความ SEO เพียงครั้งเดียว บทความทางธุรกิจของคุณก็มีโอกาสที่จะถูกติดอันดับการค้นหาใน google และถ้าบทความของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณภาพ สร้างความรู้รวมถึงประสบการณ์ให้กับผู้เข้ามาเยี่ยมชม และครอบคลุมกับทุก Keyword ย่อมส่งผลให้บทความของคุณมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนติดอันดับการค้นหา โดยที่คุณไม่ต้องทุ่มเงินเพื่อซื้อโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ธุรกิจคุณเพิ่มเลย มันคือการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ

ส่วนธุรกิจที่เหมาะกับการลงทุนเขียนบทความ SEO ควรเป็นธุรกิจที่สามารถขายสินค้าและบริการได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวแปร เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน, ธุรกิจขายเสื้อผ้า, บริการล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ และ บริการซ่อมรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเรียกธุรกิจประเภทนี้ว่า ธุรกิจที่มั่นคงความเสี่ยงต่ำ ถ้าลงทุนกับบทความ SEO ย่อมได้รับผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

2.การลงทุนการตลาดในบทความ SEM เปรียบเสมือนการลงทุนในหุ้นเน้นเก็งกำไร (Speculative Investment)

ซึ่งธุรกิจที่เหมาะกับการลงทุนแบบ SEM ควรเป็นธุรกิจหรือบริการที่เหมาะกับการจับกระแสในระยะสั้น เช่น ธุรกิจที่ขายของตกแต่งเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส และ บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสำคัญเป็นหลักซึ่งการลงทุนระหว่าง 2 รูปแบบนี้ ก็มีข้อโดดเด่นที่แตกต่างกัน โดยคุณไม่จำเป็นต้องเลือกลงทุนอย่างไรอย่างหนึ่งก็ได้ แต่อาจจะเลือกลงทุนทำการตลาดทั้งสองแบบพร้อมกันขึ้นอยู่แผนธุรกิจที่คุณได้วางเอาไว้เป็นหลัก

จะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจประเภทใดควรทำการตลาดแบบ SEO และ SEM ?

ธุรกิจประเภทใดควรทำการตลาดแบบ-SEO-และ-SEM

พอคุณอ่านบทความมาถึงตรงส่วนนี้เราเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามในใจว่าธุรกิจประเภทใดที่ควรทำ ซึ่งเราขอบอกเลยว่าการทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM มันเหมาะกับธุรกิจทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตสินค้า ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันรถบรรทุก ถ้าไม่เชื่อคุณลองพิมพ์ ซื้อไม้จิ้มฟัน กับ ซื้อรถบรรทุก ใน google ดูสิ รับรองคุณเจอแหล่งซื้อขายเพียบ หรือ จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับงานบริการ ตั้งแต่รับจ้างทำการบ้านไปจนถึงงานรับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ถ้าไม่เชื่ออีก เราขอท้าให้คุณลองกดค้นหาสิ่งนั้นใน google เช่นกัน

ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยังไม่มีประสบการณ์การลงทุนทำการตลาด เราเชื่อว่าคุณอาจมีความตื่นเต้น หรือ กังวลอยู่ไม่น้อย เพราะไม่แน่ใจว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับการทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM มากกว่ากัน ซึ่ง THAI TOP SEO ก็มีคำแนะนำง่าย ๆ ที่จะมาทำให้คุณลดข้อกังวลเกี่ยวกับประเมินธุรกิจเพื่อทำการตลาด มาฝากให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจ ดังนี้

1. ประเมินบทความ SEO หรือ SEM ของบริษัทคู่แข่ง

การประเมินคู่แข่งถือเป็นด่านแรกในการวางเกมส์กลยุทธ์ทางธุรกิจ คุณต้องประเมินว่าสินค้าหรือบริการของธุรกิจคู่แข่งได้รับความสนใจมากน้อยแค่ไหนใน google มีข้อโดดเด่นหรือข้อบกพร่องทางส่วนไหนบ้างที่คุณสามารถมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณทำธุรกิจเกี่ยวกับสถาบันกวดวิชาภาษาจีน แล้วคุณต้องการสำรวจสถาบันกวดวิชาภาษาจีนคู่แข่งของคุณว่าได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหนจากผู้เยี่ยมชมใน google คุณลองพิมพ์คำค้นหาว่า สถาบันกวดวิชาภาษาจีน ในgoogle จากนั้นคุณก็เข้าไปศึกษาตรงเว็บที่มีคำว่าโฆษณา หรือ AD ที่แปะอยู่มุมซ้ายมือด้านบน (SEM) เมื่อศึกษาเว็บไซต์ของสถาบันกวดภาษาจีนคู่แข่งเสร็จ

จากนั้นคุณก็ลองเลื่อนมาศึกษาเว็บไซต์สถาบันกวดวิชาภาษาจีน 5 อันดับการค้นหาแรกใน google ที่ไม่มีคำว่าโฆษณาแปะไว้มุมซ้ายมือบน (SEO) เมื่อคุณอ่านอ่านเว็บไซต์ทั้งสองแบบเสร็จให้คุณสรุปลงในกระดาษว่าแต่ละแบบมีข้อโดดเด่น และ ข้อบกพร่องอย่างไรบ้าง

จากนั้นคุณลองมาประเมินเบื้องต้นโดยแทนตัวเองเป็นลูกค้า ว่าถ้าคุณอยากเรียนสถาบันกวดวิชา หรือ อยากส่งลูกมาเรียนสถาบันกวดวิชา คุณจะให้ความสนใจกับเนื้อหาในเว็บไซต์แบบใด และอยากจะให้เว็บไซต์นั้นที่คุณสนใจปรับปรุงหรือเพิ่มข้อมูลส่วนไหนเพื่อให้เว็บไซต์ตอบโจทย์ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้มากขึ้น สิ่งนี้แหละคือการประเมินธุรกิจคู่แข่งขั้นพื้นฐานในการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ

2. ประเมินธุรกิจของคุณว่ามีกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร

การรู้จักเป้าหมายคือหัวใจสำคัญของการทำการตลาดทุกรูปแบบ รวมถึงการตลาดแบบบทความ SEOและSEM เพราะถ้าเรารู้จักเป้าหมายมากเท่าไหร่จะส่งผลให้การวางแผนทางการตลาดของคุณประสบความสำเร็จมากเท่านั้น ขอยกตัวอย่างธุรกิจ สถาบันกวดวิชาภาษาจีนเหมือนข้อที่แล้ว ถ้ากลุ่มเป้าหมายหลักที่คุณต้องการจะเจาะจงคือ กลุ่มนักเรียนที่สนใจเรียนภาษาจีนเพื่อใช้คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยภายในระยะเวลา 3 เดือน

คุณควรจะทำการตลาดแบบ SEM เป็นหลัก เนื่องจากเจาะกลุ่มเป้าหมายได้สะดวกรวดเร็วกว่า แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายหลักของคุณคือ บุคคลทั่วไปที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องการเรียนภาษาจีนเพื่อเพิ่มโอกาสทางอาชีพ คุณควรทำการตลาดจากแบบ SEO เนื่องจากแบบ SEO มีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่า ถ้าผู้เยี่ยมชมกดเข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์ของคุณมากเท่าไรยิ่งทำให้บทความของคุณติดอันดับการค้นหามากขึ้นเท่านั้น จนคุณไม่ต้องลงทุนซื้อโฆษณาเลย

3. ประเมินงบประมาณสำหรับการลงทุนทางการตลาดแบบบทความ SEO และ SEM ของธุรกิจคุณ

งบการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำการตลาด เพราะคุณจำเป็นต้องบริหารงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด มาผลิตหรือลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจมากที่สุดตามหลักการเศรษฐศาสตร์ ถ้าเกิดว่าคุณสนใจที่ทำบทความ SEO หรือ SEM แต่มีงบประมาณค่อนข้างจะประหยัด เราขอแนะนำให้คุณทำการตลาดแบบ SEO โดยเน้น Keyword แบบเฉพาะเจาะจง แทนคำ Keyword แบบครอบคลุม

แต่วิธีนี้ก็มีทั้งโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของคุณจะกดเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และมีทั้งความเสี่ยงที่เว็บไซต์ของคุณจะไม่ติดอันดับการค้นหา ถ้าคุณมีงบประมานค่อนข้างจะไม่จำกัดในการทำการตลาด เราขอแนะนำให้คุณทำการตลาดแบบ SEO ร่วมกับ SEM เนื่องจากทั้งสองรูปแบบมันประชาสัมพันธ์ธุรกิจของคุณให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วและประชาสัมพันธ์ใน google อย่างต่อเนื่อง

สรุปข้อแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM ฉบับเปรียบเทียบเพื่อให้คุณเห็นความแตกต่างมากขึ้น

ในที่สุดเราก็เดินทางมาจนถึงหัวข้อสุดท้ายของบทความกันแล้ว สำหรับผู้ที่อ่านบทความมาถึงตรงนี้ เราเชื่อว่าคงมีบางส่วนอาจจะเริ่มสับสน หรือ ยังไม่ค่อยเข้าใจความแตกต่าง ดีพอ ทางเราจึงได้ทำตารางเพื่อให้คุณได้สร้างความเข้าใจมากขึ้น

ตารางสรุปข้อแตกต่างระหว่าง SEO VS SEM

ตารางเปรียบเทียบ-SEO-SEM

จากตารางดังกล่าวจะเห็นว่าการตลาดแบบ SEO และ แบบ SEM ล้วนมีข้อโดดเด่นที่ต่างกันอย่างละแบบ ฉะนั้นถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องการสนใจจะทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM สิ่งที่ควรจะพิจารณา คือ

  1. คุณต้องประเมินบทความ SEO หรือ SEM ของบริษัทคู่แข่ง
  2. ประเมินธุรกิจของคุณว่ามีกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร
  3. ประเมินงบประมาณสำหรับการลงทุนทางของธุรกิจคุณ

ก่อนจะจบเนื้อหาของบทความนี้เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะได้รับความรู้มากขึ้น และเราขอให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์การตลาดแบบ SEOและSEM เหมือนที่คุณได้ตั้งใจไว้