Google Trends 2023 และวิธีค้นหาเทรนด์ที่กำลังมาแรง

Google Trends

ทำไมต้อง Google Trends 2023

เพราะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ ที่มีมานานจนถึงปัจจุบันในปี 2023 ก็จะยังคงได้รับการยอมรับจากชาว social ทั้งหลาย ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือหลักที่สำคัญ และยังสามารถใช้งานได้ฟรี และอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่ทำให้พวกเรานิยมใช้เครื่องมือนี้ ในการช่วยเหลือหรือพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ประสบความสำเร็จ

หน้าที่หลักของ-Google-Trends

โดยหน้าที่หลัก คือ สามารถใช้ในการค้นหาและตรวจสอบ ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อธุรกิจนั้น ๆ หรือตรวจสอบผู้ที่มีการใช้งาน Google จากการค้นหาความต้องการโดยการใช้ Keywords ในการค้นหาสิ่งต่าง ๆ โดยสามารถตรวจสอบเวลาของผลการค้นหา ในช่วงเวลาที่ต้องการทราบได้ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ฮิตรายวันในระดับประเทศ หรือเทรนด์ฮิตรายวันในระดับโลกก็ตาม โดยข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด จะสามารถนำไปวิเคราะห์ประกอบกับการทำธุรกิจได้

ดังนั้นถือได้ว่าเครื่องมือตัวนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญหลัก ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่เห็นได้ชัดว่าในปี 2023 นี้ ก็ยังคงมีนักลงทุนจำนวนมาก ที่กำลังเริ่มต้นกับการทำธุรกิจใหม่ ๆ หลากหลายธุรกิจด้วยกัน จึงส่งผลให้มันยังคงมีบทบาทที่สำคัญอยู่ และยังคงเป็นเครื่องมือหลักของ Google ที่นักธุรกิจ ตัดสินใจที่จะเลือกใช้ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ

ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

ข้อมูลที่จะได้จาก-Google-Trends-มีอะไรบ้าง 1

1. ข้อมูลในรูปแบบเรียลไทม์ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ข้อมูลที่จะได้จาก-Google-Trends-มีอะไรบ้าง-2

2.ข้อมูลที่ไม่ใช่ในรูปแบบเรียลไทม์ คือ ข้อมูลที่จะแตกต่างออกไปจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพราะจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ โดยสามารถย้อนไปได้ถึงตั้งแต่ปี 2004 มาจนถึง 72 ชั่วโมงก่อนที่คุณจะค้นหา

ถึงแม้ว่า จะมีเพียงแค่ข้อมูลที่มาจากการที่ผู้เข้าชม ทำการค้นหาข้อมูลบนแพลตฟอร์ม Google ก็ยังถือว่าเป็นข้อมูลที่เพียงพอแล้ว เนื่องจาก กูเกิลเทรนด์ ได้มีการวิเคราะห์การค้นหาหลายพันล้านรายการต่อวัน การที่จะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะประมวลผลข้อมูลออกมาได้อย่างรวดเร็ว

เราจึงใช้การสุ่มข้อมูลออกมาเพื่อเป็นตัวแทนชุดข้อมูลของการค้นหาทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม Google และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้สามารถค้นพบกับข้อมูลเชิงลึกได้ โดยที่ใช้ระยะเวลาในการประมวลผลภายในไม่กี่นาที ควบคู่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกในขณะนั้น

ข้อมูลในเครื่องมือนี้ ได้มีการปรับให้เป็นมาตรฐานอย่างไรบ้าง

กูเกิลเทรนด์ มีการปรับข้อมูลการค้นหาให้เป็นมาตรฐาน เพื่อช่วยให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างคำค้นหาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลของการค้นหา จะได้รับการปรับให้เป็นมาตรฐานตามเวลาและสถานที่ ที่มีการค้นหาในคำนั้น ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้

  • ข้อมูลในแต่ละจุด จะถูกแบ่งจากจำนวนการค้นหาทั้งหมดในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และช่วงเวลาของแต่ละข้อมูลนั้น ๆ เพื่อให้มีการเปรียบเทียบความมากน้อย ของความนิยมโดยสัมพัทธ์ ไม่อย่างนั้นแล้วบางข้อมูลที่มีจำนวนการค้นหาที่สูงสุดจะได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับสูงสุดอยู่แบบเดิมทุกครั้ง
  • จากนั้นตัวเลขผลลัพธ์จะมีการปรับขนาดให้อยู่ในช่วง 0 -100 ตามสัดส่วนของหัวข้อนั้น ๆ เทียบกับการค้นหาทั้งหมด
  • ถึงแม้ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในการค้นหา ที่เหมือนกันและยังเป็นคำเดียวกันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีจำนวนการค้นหาทั้งหมดที่เท่ากันเสมอไป

ตามหลักการแล้ว ข้อมูลจะสะท้อนให้เห็นถึงการค้นหาที่เกิดขึ้นบน Google ในทุก ๆ วัน แต่ก็อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงการค้นหาที่ผิดปกติออกไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่มีการค้นหาหรือใช้คำค้นหาอัตโนมัติ ที่อาจจะเป็นการพยายามสแปมผลการค้นหาได้ ถึงแม้ว่าจะมีกลไกในการตรวจหาและการคัดกรองการกระทำที่ผิดปกติ โดยระบบอาจเก็บรักษาความปลอดภัยของการค้นหาเหล่านี้ ไว้ใน GoogleTrends เพื่อที่จะได้เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัย

ดังนั้นการคัดกรองการค้นหาเหล่านี้จาก GoogleTrends จะยิ่งช่วยให้ผู้ที่ออกคำสั่งให้มีการค้นหาดังกล่าวสามารถทราบว่า GoogleTrends ระบุการค้นหาเหล่านั้นได้ ซึ่งจะทำให้กรองการกระทำที่ผิดปกติดังกล่าวถูกนำออกจาก Google Search อื่น ๆ ที่ต้องใช้ข้อมูลการค้นหาที่มีความแม่นยำสูงได้ยากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ต้องใช้ข้อมูลจึงต้องทราบว่าข้อมูลในส่วนตรงนี้ ว่าไม่สามารถที่จะสะท้อนให้เห็นถึงทุกการค้นหาได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งหมด

  • การค้นหาจากกลุ่มคนจำนวนน้อย เนื่องจากจะแสดงเฉพาะผลเฉพาะเรื่องที่ถูกค้นหาเป็นจำนวนมาก อะไรที่น้อยเกินไป ผลก็จะขึ้นเป็น 0 ไปเลย
  • การค้นหาซ้ำ ๆ โดยคน ๆ เดียวกันในเวลาสั้น ๆ ก็จะไม่ถูกนับรวมเหมือนกัน
  • การค้นหาที่ใช้อักขระพิเศษ เครื่องมีนี้จะมีการคัดกรองคำค้นหาที่มีการใช้เครื่องหมายย่อและอักขระพิเศษอื่น ๆ ออก

สามารถนำข้อมูลที่ได้ ไปใช้และวิเคราะห์ออกมาให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร

ในปัจจุบันนี้ มีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถให้ความรู้ ในเรื่องของการเทรนด์ข้อมูลให้ดียิ่งขึ้นได้ โดยแพลตฟอร์มนั้นคือ Google News Lab ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่จะช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ กูเกิลเทรนด์ และเป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมสามารถที่จะนำข้อมูลในส่วนนี้ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

ข้อมูลเทรนด์ที่ Google News Lab แชร์แตกต่างกับข้อมูลของ GoogleTrends อย่างไร

สำหรับในเรื่องของเหตุการณ์สำคัญ ๆ  Google News Lab อาจจะมีการแชร์ข้อมูลเทรนด์ อยู่เสมอ เช่น ผ่านแอปพลิเคชัน Twitter ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ กูเกิลเทรนด์ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ เพราะ กูเกิลเทรนด์ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวเพื่อหาหลักฐานของการกระทำบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ที่มีความเหมือนกันระหว่างข้อมูลจากทั้ง กูเกิลเทรนด์ และ Google New Labs คือ การที่ข้อมูลไม่ได้เป็นไปตามหลักการของวิทยาศาสตร์ใด ๆ และอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลของการค้นหาอย่างสมบูรณ์แบบทั้งหมด

Autocomplete ถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใน Google Search ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยในเรื่องของการป้อนคำในการค้นหาโดยจะทำให้ผู้ใช้เริ่มมีวิธีการพิมพ์ที่เร็วขึ้นจากเดิม โดยวิธีการคาดคะเนในส่วนนี้มาจากตรวจสอบการค้นหาจริงบนแพลตฟอร์มของ Google

นอกจากนี้ยังแสดงผลการค้นหาที่มีการค้นพบได้บ่อยและมาแรงซึ่งจะมีความสัมพันธ์กันกับอักขระที่ป้อนตอนค้นหา และมีความเกี่ยวเนื่องกับตำแหน่งหรือการค้นหาก่อนหน้า

Autocomplete นั้นแตกต่างจาก กูเกิลเทรนด์ ตรงที่จะเป็นไปตามนโยบายการนำเนื้อหาออกของ Google ตลอดจนการคัดกรองโดยอิงตามอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อที่จะพยายามตรวจสอบการคาดคะเนที่อาจละเมิดนโยบายและจะไม่มีการแสดงผลการคาดคะเนเหล่านั้นได้

ด้วยเหตุนี้ Autocomplete จึงไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อความค้นหายอดนิยมเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ เสมอไป

ความแตกต่างระหว่าง GoogleTrends และ AdWords ในการให้ข้อมูลการค้นหา

การรายงานข้อความในการค้นหาของ AdWords มีไว้เพื่อแสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปริมาณการค้นหารายเดือนและโดยเฉลี่ยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีการลงโฆษณา แต่จะต่างออกไปจาก กูเกิลเทรนด์ ที่เป็นการออกแบบมาเพื่อเจาะลึกเกี่ยวกับข้อมูลที่ละเอียดมากกว่านั้นและในรูปแบบเรียลไทม์

วิธีดูอันดับ

  1. เปิดไปยังหน้าเครื่องมือ GoogleTrends
  2. คลิกที่เมนู (Main menu) บริเวณที่ด้านบนซ้าย
  3. เลือกไปยังเมนู “อันดับสูงสุด”
  4. หากต้องการสลับระหว่างมุมมองมาแรงและการค้นหามากที่สุด ให้เลือกไปที่รายการแล้วเลื่อนลงที่ด้านล่างสุดของรายการ

โดยการแสดงผลข้อมูล คุณสามารถใช้อันดับสูงสุดในประเทศต่าง ๆ ได้ แต่อันดับสูงสุดบางส่วนก็อาจจะมีแค่ในบางประเทศเท่านั้น

อย่างไรก็ตามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในปี 2023 ก็ยังถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ให้ความสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพของ Google โดยถือว่าเป็นอีกตัวช่วยสำคัญของนักลงทุน เพราะสามารถตอบโจทย์ให้กับหลากหลายธุรกิจ ทั้งการทำธุรกิจทางการทำตลาดออนไลน์ หรือการทำ SEO โดยความสำคัญหลัก ๆ ของ กูเกิลเทรนด์ คือ สามารถช่วยในเรื่องการค้นหา Insight ของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและตรงเป้าหมายมากขึ้น

รวมถึงยังเพื่อเป็นตัวช่วยเพิ่มไอเดีย ในการสร้างคอนเทนต์หรือแคมเปญต่าง ๆ ของธุรกิจทางการตลาดอีกด้วย โดยในส่วนนี้ จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Keywords ที่มาจาก การค้นหาด้วยเครื่องมืออย่างสะดวก และเมื่อมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือมีการปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง ก็จะยิ่งทำให้ธุรกิจมีการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้