ความสำคัญของ Meta Description และวิธีเขียนที่ถูกต้อง

Meta Description

Meta Description คือการอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์แบบสรุปที่ผู้ใช้สามารถเห็นได้จากการค้นหา ถือเป็นสิ่งแรกที่ผู้เข้าชมมักจะเห็นก่อนเสมอเมื่อพวกเขาค้นหาสิ่งที่สนใจ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Meta Description จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO และในส่วนนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะชักชวนให้ผู้เข้าชมอยากที่จะคลิกเข้ามายังในเว็บไซต์ของคุณ บทความนี้ จึงจะมีเนื้อหาที่อธิบายลักษณะของการเขียนที่ถูกต้อง

Contents hide

ทำความรู้จักกับ Meta Description

Meta Description

Meta Description คือ แท็ก HTML ที่สามารถทำการตั้งค่าสำหรับโพสต์หรือหน้าของเว็บไซต์ได้ โดยในส่วนนี้สามารถใช้คำได้ประมาณ 155 คำ เพื่อใช้ในการอธิบายเว็บไซต์ของคุณว่ามีรายละเอียดของข้อมูลที่เกี่ยวกับอะไร และอาจโชคดีหากทาง Google แสดงผลการค้นหาหน้าเว็บไซต์ของคุณ เพราะจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะโน้มน้าวใจผู้ใช้เครื่องมือค้นหาสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาได้สำเร็จ

เหตุใดจึงต้องมีการเขียนคำอธิบาย?

วัตถุประสงค์หลักเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก เพราะเพียงแค่ต้องการเพิ่มโอกาสให้กับการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของตนเอง หากมีผู้ใช้ Google กำลังค้นหาความต้องการที่สนใจอยู่โดยเป็นการค้นหาด้วยข้อความ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า MetaDescriptionสามารถเพิ่มยอดการคลิกเข้าชมได้ผ่านเครื่องมือค้นหาโดยเครื่องมือค้นหากล่าวว่าการเขียนคำอธิบายนั้น ไม่ได้มีประโยชน์โดยตรงต่อ SEO เพราะไม่ได้มีผลต่อการจัดอันดับ แต่กลับมีประโยชน์ในทางอ้อม นั่นคือการที่ Google ใช้อัตราการคลิกผ่าน (CTR) เป็นวิธีการพิจารณาผลลัพธ์ของคุณว่าไปในทางที่ดีหรือไม่ หากมีคนคลิกผลลัพธ์ของคุณมากขึ้น Google ก็จะถือว่าเว็บไซต์ของคุณมีผลลัพธ์ที่ดีในทันที และจะทำการเลื่อนอันดับของคุณขึ้นตามตำแหน่งลำดับที่เหมาะสม นี่คือเหตุผลที่การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ MetaDescription ของเว็บไซต์จึงมีความสำคัญมาก เช่นเดียวกับการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของคุณ
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถรับประกันได้ว่า Google จะแสดงคำอธิบายที่คุณเขียน ทั้งหมด อย่างไรก็ตามมันก็คุ้มค่าที่จะเพิ่มมันลงในโพสต์หรือหน้าเว็บของคุณเมื่อมีโอกาส

ลักษณะที่ดีของของการเขียนคำอธิบาย

1. การใช้คำอธิบายจำนวนไม่เกิน 155 คำ
การใช้คำในการเขียนจะไม่มีความยาวที่ถูกต้องแน่นอนแต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการที่จะสื่ออะไรออกมาให้ผู้อ่านเข้าใจ ผู้เขียนควรที่จะใช้พื้นที่ในตรงนั้นให้มีความพอดีกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร และในขณะเดียวกันสิ่งที่สื่อออกมาก็ควรที่จะสั้นกระชับได้ใจความ อย่างไรเมื่อตามดูผลการค้นหาใน Google และจะเห็นได้เลยว่ามีการโชว์ข้อความประมาณ 120 -156 คำเท่านั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถกำหนดให้ Google แสดงผลการค้นหาได้อย่างสมบูรณ์แบบตามต้องการ หรือในบางครั้งก็จะเลือกนำบางประโยคมาแสดงเท่านั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของคุณคือใช้คำอธิบายที่สั้น ๆ วิธีนี้ Google จะแสดงผลของคุณออกมาได้ทั้งหมด

2. การใช้รูปประโยคในรูปแบบ Active Voice ในการเขียน

โดย Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกริยาโดยตรง โดยมีกรรมมารับหรือไม่มีกรรมมารับประโยคก็ได้ หากคุณคิดว่า MetaDescription จึงเหมือนคำเชิญชวนเพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ของคุณ สิ่งที่คุณควรคำนึงถึง คือ ผู้เข้าชมและรวมถึงแรงจูงใจของพวกเขาที่จะเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำอธิบายหรือรูปประโยคของคุณไม่น่าเบื่อหรือไม่คลุมเครือมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วผู้เข้าชมเพียงแค่ต้องรู้ว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลอะไรได้บ้างจากการเข้าเว็บไซต์ของคุณ

3. การรวมคำเพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจ

ตัวอย่างประโยค “สวัสดี เรามีผลิตภัณฑ์ใหม่และเชื่อว่าคุณจะต้องการมัน สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้!” ในรูปประโยคนี้เป็นการอธิบายโดยใช้ Active Voice แต่ถ้าเราต้องการเน้นย้ำอีกครั้ง เพราะ Meta Description คือข้อความขายของคุณ ในกรณีของคำว่า “ผลิตภัณฑ์” ที่ทำหน้าที่เสมือนคำเชิญชวนหรือทำการเชื่อมโยงไปยังข้อมูลในเว็บไซต์ เรายังสามารถใช้รูปแบบประโยคอื่นได้อีก เช่น เรียนรู้เพิ่มเติม รับทันที ทดลองใช้ฟรี มีประโยชน์เป็นต้น

4. การใช้การกำหนดคำเฉพาะ (Focus Keyword) ที่เราต้องการให้ผู้เข้าชมมองเห็นและสนใจ

โดยถ้าหากการค้นหามีการใช้คำที่ตรงกับบางคำในข้อความ MetaDescription ของเว็บไซต์เรา ก็จะทำให้ทาง Google เลือกที่จะใช้คำหลัก ๆ เหล่านั้นมากขึ้นไปอีก และจะเน้นคำหลักนั้นให้ขึ้นในผลการค้นหา สิ่งนี้จะทำให้ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น รวมถึงในบางครั้ง Google ยังเน้นมีการคำพ้องความหมายอีกด้วย

5. การแสดงข้อมูลจำเพาะเท่านั้นให้ได้มากที่สุด

หากคุณมีธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์อยู่ในร้านค้า Shopify หรือ WooCommerce ของคุณสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาจเป็นความคิดที่ดีที่จะใส่ใจกับข้อกำหนดทางเทคนิค ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถระบุรายละเอียดผู้ผลิต SKU หรือ ระบุราคาได้เลย เพราะถ้าหากผู้เข้าชมกำลังมองหาผลิตภัณฑ์นั้นอยู่แล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้คุณโดยที่ไม่ต้องโน้มน้าวใจพวกเขาแล้ว และวิธีที่จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ให้กับคุณนั่นคือการที่คุณต้องพยายามหาตัวอย่างข้อมูลที่มีความสมบูรณ์แบบแล้วมาใช้

6. การตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาตรงกับในหน้าเว็บไซต์

ในข้อนี้คือสิ่งสำคัญอย่างมากเพราะ Google จะสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่าคุณกำลังใช้มันในการหลอกลวงผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณอยู่หรือไม่ โดยถ้าคุณทำจริงก็อาจมีการลงโทษคุณด้วยเช่นกัน หรือถ้าหากใช้คำอธิบายที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด มันก็อาจทำให้อัตราการโดนตีกลับมาของคุณเพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งการโดนแบบนั้นก็จะทำให้ลดความไว้วางใจที่ผู้คนที่มีต่อบริษัทของคุณ ด้วยเหตุผลนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่มาก และนี่ก็คือเหตุผลที่คุณควรจะต้องทำให้มีเนื้อหาความสอดคล้องกับเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ของคุณด้วย

7. การทำให้ไม่ซ้ำกับหน้าเว็บไซต์อื่น ๆ 

หากคำอธิบายของคุณไปเหมือนกันกับหน้าอื่น ๆ จะทำให้ผู้เข้าชมที่ใช้ Google ถูกขัดขวางทันที และถึงแม้ว่าชื่อหน้าเว็บไซต์ของคุณอาจแตกต่างออกไป แต่ก็ยังถูกมองว่าทุกหน้ามีความเหมือนกัน เพราะการที่ใช้คำอธิบายทั้งหมดเหมือนกัน แทนที่คุณจะสร้างคำอธิบายที่ซ้ำกัน คุณควรเว้นว่างไว้ดีกว่า เพราะจะทำให้ Google เลือกตัวอย่างจากหน้าที่มี Keyword ที่ใช้ในการค้นหา ดังที่ได้กล่าวมา การเขียนคำอธิบายให้ไม่ซ้ำกันกับหน้าอื่น ๆ คุณควรจะต้องการจัดอันดับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดก่อนเสมอ
Yoast SEO สามารถช่วยให้คุณเขียนคำอธิบาย Metaได้อย่างไร

หากคุณใช้มีการใช้ WordPress หรือ Shopify และใช้ Yoast SEO ในการเพิ่มคำอธิบายมันจะง่ายมากขึ้น ก่อนอื่นคุณสามารถเขียนไว้ในส่วน Google Preview ของ Yoast SEO และ Yoast SEO จะให้ข้อเสนอแนะในการวิเคราะห์ SEO เช่นกัน ปลั๊กอินจะตรวจสอบสองสิ่ง คือความยาวของคำอธิบายและอีกสิ่งคือคุณมีการใช้คำวลี (Keyphrase) ที่เราอยากให้ติดอันดับมากที่สุดของหน้าเพจนั้นหรือไม่

การใช้วลีที่สำคัญ (Keyphrase) สำหรับการประเมิน Meta Description ใน Yoast SEO คืออะไร

Keyphrase

การตรวจสอบนี้เกี่ยวกับการใช้วลีสำคัญ หรือ Keyphraseในการเขียนคำอธิบาย วลีที่ต้องโฟกัสคือคำค้นหาที่คุณต้องการให้หน้าเว็บติดอันดับ โดยเมื่อมีผู้ค้นหาคำนั้น ๆ คุณก็ต้องการให้พวกเขาพบกับเว็บไซต์ของคุณเลย คุณสามารถใช้คำหลัก ๆ เหล่านั้นของคุณในการนำมาค้นคว้าหรือวิเคราะห์ได้ พอหลังจากที่คุณทำการค้นคว้าแล้ว คุณก็ควรรวบรวมคำเหล่านั้นที่ผู้ชมส่วนใหญ่มักจะค้นหามากที่สุด อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า หากคุณมีการใช้วลีหรือ Keyphrase ของคุณในคำอธิบายทาง Google จะโฟกัสในตรงจุดนั้น และทำให้ผู้เข้าชมสามารถค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ Yoast SEO เองก็จะตรวจสอบว่าคุณได้ใช้คำวลีที่เป็น Focus Keyword ของคุณในข้อความหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน และถ้าหากคุณใช้ Yoast SEO Premium ที่จะคำนึงถึงคำพ้องความหมายที่คุณป้อนด้วย หากคุณทำมากเกินไป ปลั๊กอินจะแนะนำให้คุณจำกัดการใช้วลี (Keyphrase) ของคุณทันที

วิธีการตั้งค่าสัญญาณไฟจราจรสีเขียวสำหรับการใช้วลี ( Keyphrase) ที่สำคัญ

หากคุณไม่พูดถึงคำวลีในคำอธิบายเลย คุณจะเห็นสัญญาณไฟจราจรสีแดงทันทีเป็นการเตือน ดังนั้นอย่าลืมเขียนเด็ดขาด แต่ก็อย่ายัดคำอธิบายของคุณด้วยวลีสำคัญของคุณเข้าไปเฉย ๆ เพราะจะทำให้คุณเห็นสัญญาณไฟจราจรสีแดงด้วยอีกเช่นกัน แต่แค่คุณอย่าลืมที่จะกล่าวถึงคำในเนื้อหาทั้งหมดผ่านวลีสำคัญของคุณที่มีความใกล้เคียงกันก็พอ เพราะปัจจุบันเครื่องมือในการค้นหาค่อนข้างฉลาดมากขึ้น คุณจึงควรต้องทำให้ทุกอย่างมีความชัดเจนว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรปลั๊กอิน Yoast SEO Premium จะมีการนำคำพ้องความหมายที่คุณใช้เข้ามาพิจารณาในการวิเคราะห์ด้วย และวิธีนี้ก็จะช่วยให้คุณเขียนได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นและส่งผลให้ข้อความน่าอ่านมากกว่าเดิม แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นมันง่ายมากที่จะได้รับคะแนนสัญญาณไฟจราจรสีเขียวด้วยวิธีนี้ คุณจึงควรที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์

การประเมินความยาวของข้อความสามารถทำได้อย่างไรบ้าง

การประเมินความยาวของข้อความ หรือจำนวนตัวอักษร จะตรวจสอบว่าคำอธิบายของคุณสั้นเกินไป (น้อยกว่า 120 คำ) หรือยาวเกินไป (มากกว่า 156 คำ) หากเมื่อคำอธิบายของคุณมีความยาวที่เหมาะสม คุณจะได้รับสัญญาณไฟจราจรสีเขียว แต่หากยาวหรือสั้นเกินไป คุณจะเห็นสัญญาณไฟจราจรสีส้ม (หรืออาจเป็นสีแดง หากคุณมีการทำเครื่องหมายในบทความของคุณว่าเป็นเนื้อหาหลัก) ซึ่งผลทั้งหมดจะมาจากการวิเคราะห์ SEO ของ Yoast SEO

วิธีการเขียนให้กระชับ

การมีคำอธิบายที่ดีควรจะทำให้ผู้เข้าชมมีความเชื่อว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหาผ่านข้อความ แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมากขึ้นอีก คุณควรที่จะต้องรู้ว่าผู้คนกำลังมองหาอะไรและจุดประสงค์ในการค้นหาของพวกเขาคืออะไร หรือพวกเขากำลังมองหาคำตอบสำหรับคำถามอยู่หรือไม่ และถ้าเป็นแบบนี้ คุณควรที่จะพยายามให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแก่พวกเขา

แต่ถ้าพวกเขากำลังมองหาผลิตภัณฑ์ คุณก็ควรที่จะเขียนอธิบายข้อความที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นมีความน่าสนใจและเพราะเหตุใดที่พวกเขาจึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ โดยคำอธิบายจะต้องกระชับและน่าเชื่อด้วยคุณสามารถรับข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความยาวในส่วนการแสดงตัวอย่างของ Google (Google preview) ที่อยู่ตรงแถบด้านข้างหรือ Meta box ของ Yoast SEO

หากคุณต้องการเขียนข้อความอธิบายให้คลิกไปที่ “Google preview” ในแถบด้านข้าง Yoast SEO การดำเนินการนี้จะช่วยแก้ไขข้อมูลโค้ดได้ โดยคุณจะเห็นช่องป้อนข้อมูลสำหรับแก้ไข SEO Title, Slug และ MetaDescription เมื่อคุณเริ่มพิมพ์ข้อความคำอธิบายของ MetaDescription ลงในช่องนั้น ตัวอย่างของ Google ที่ด้านบนของเครื่องมือแก้ไขก็จะแสดงผลตัวอย่างข้อความใหม่ของคุณทันที โดยใต้ช่องจะมีแถบที่เป็นสีส้มอยู่ เพราะถ้าเมื่อคุณเริ่มพิมพ์ใส่ข้อมูลเพียงพอแล้วมันจึงจะกลายเป็นสีเขียว แต่ถ้าเมื่อคุณเพิ่มข้อความจนมากเกินไปสีก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้มอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังสามารถเขียนหรือแก้ไขคำอธิบายของคุณใน Meta box ของ Yoast SEO ที่อยู่ด้านใต้เครื่องมือแก้ไขโพสต์ของคุณได้อีกด้วย แต่หากไม่ได้อยู่ในแท็บนี้ตามค่าเริ่มต้น เพียงแค่คุณเข้าไปที่แท็บ Meta box คุณก็จะสามารถเริ่มพิมพ์ในช่องใต้คำอธิบายได้ในทันที

คุณจะทำอย่างไร หากต้องการให้มีหลายเพจ

Meta-Description-สำหรับหลายเพจ

คุณสามารถทำได้โดยตรวจสอบว่าหน้าเว็บไซต์ใดของคุณที่อยู่ในอันดับสูงสุดด้วย Google Search Console นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งคำอธิบายของคุณด้วยเครื่องมือที่อยู่ใน Yoast SEO อีกด้วย แค่นี้ก็สามารถช่วยให้คุณสะดวกมากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลกับคำอธิบายที่ซ้ำกัน แต่หากคุณต้องการเขียนคำอธิบายที่ไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละหน้าเว็บไซต์ของคุณ แต่คุณเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งเขียนทีละเว็บไซต์ คุณสามารถใช้เครื่องมือแก้ไขหลายเครื่องมือ (Bulk editor tool) ที่อยู่ใน Yoast SEO สำหรับ WordPress โดยตรง

ไปที่หน้าเครื่องมือ คลิกที่ ‘ตัวแก้ไขหลายรายการ (Bulk editor)’ ต่อมาเลือกแท็บ ‘คำอธิบาย (Description)’ คุณจะสามารถดูคำอธิบาย ของ MetaDescription ที่ตั้งค่าไว้แล้วสำหรับหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ และคุณสามารถเพิ่มคำอธิบายใหม่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเปิดทีละหน้า แต่อย่างไรก็ตามการที่คุณใช้เครื่องมือนี้จะทำให้ไม่ได้รับการเตือนหากคำอธิบายของคุณสั้นและยาวเกินไป หรือหากไม่มี Focus Keyword

การแชร์ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย

ตอนนี้คุณมี Yoast SEO หรือยัง? ในกรณีนี้คุณสามารถดูตัวอย่างผ่านทาง Facebook และ Twitter ในแถบด้านข้างของ Yoast SEO หรือแท็บโซเชียลมีเดียใน Meta box ของ Yoast SEO ที่อยู่ใต้โพสต์หรือใต้เว็บไซต์ของคุณได้ นอกจากนี้ยังคุณสามารถเพิ่มคำอธิบาย MetaDescription แยกออกต่างหากสำหรับช่องทางโซเชียลมีเดียของคุณ นอกจากนี้ใน Yoast SEO Premium คุณจะยังมีตัวอย่างโซเชียลมีเดียที่จะแสดงให้คุณเห็นว่าเมื่อมีการแชร์โพสต์หรือหน้าเว็บไซต์ของลงบนสื่อโซเชียลมีเดียแล้วจะเป็นอย่างไร

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://yoast.com/meta-descriptions/

สรุปความสำคัญของ Meta Description ที่มีต่อการทำ SEO

Meta Description หรือคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อ เป็น Meta Tag ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสรุปรายละเอียด หรือคำอธิบายเนื้อหาให้สั้น กะทัดรัด และชัดเจน เพื่อทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ และใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการเข้าชมเว็บไซต์ในแต่ละครั้ง เพราะเหตุนี้จึงถือว่ามีความสำคัญในการทำ SEO อย่างมาก วิธีการเขียนคำอธิบายให้ออกมีประสิทธิภาพและถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่คนทำ SEO ควรศึกษามากเช่นกัน