SEO (Search engine optimization) หรือการออกแบบ ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา นับว่าเป็นประเด็นร้อนของนักออกแบบธุรกิจออนไลน์และนักการตลาดออนไลน์จำนวนมาก เชื่อว่าหากคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ คุณก็คงเป็นคนหนึ่งที่สนใจในการทำ SEO เหมือนกันแต่ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นทำมันได้ คุณควรเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานต่างๆของ SEO ซึ่งผมได้รวบรวมมาให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆตรงนี้แล้ว
โดยทั่วไป มี 2 วิธีในการดึงให้มีลูกค้าเข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณ นั่นก็คือ “free traffic” และ “paid traffic”
Paid traffic หมายถึงการลงโฆษณาทุกประเภท เช่น PPC, การติด banner, การซื้อสื่อต่างๆ การลง google ads, facebook ads เป็นต้น ซึ่งคุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตลอดเวลาที่ใช้มัน และอีกวิธีที่เป็นที่นิยมมากที่สุดที่จะช่วยให้คุณได้ free traffic เข้าเว็บไซต์ก็คือ การทำ SEO นั่นเอง
ในบทความนี้ ผมจะไม่ได้พูดถึงเทคนิคต่างๆในการทำ SEO แต่ผมจะอธิบายคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คุณเข้าใจและไม่งงเป็นไก่ตาแตกเวลาไปคุยกับนัก SEO หรือเวลาไปอ่านบทความอื่นๆแล้วได้เห็นคำศัพท์เหล่านี้ มาดูกันเลยดีกว่า
301 redirect หรือ การเปลี่ยนเส้นทางของเว็บไซต์
เมื่อพูดถึงการ redirect โดยทั่วไป จะเกิดขึ้นเมื่อคุณกำลังเข้าไปใน page หนึ่ง แล้วอยู่ดีๆคุณก็โดนวาร์ป หรือที่เรียกว่า redirect หรือไปโผล่ที่อีก page หนึ่งเฉยเลย ซึ่งเป็นคนละ URL ด้วย โดยทั่วไป จะมี 2 แบบ คือ temporary redirection และ permanent redirection จากมุมของผู้เข้าชมเว็บไซต์แล้วทั้ง 2 แบบนี้ไม่มีความแตกต่างกัน แต่ถ้ามุมของ google หรือ search engine แล้ว ทั้ง 2 แบบนี้แตกต่างกันแน่นอน
301 redirect คือการเปลี่ยนเส้นทางแบบถาวร (permanent redirection) เป็นการบอกกับ search engine หน้าที่พวกเขากำลังพยายามเข้าถึงอยู่นั่นได้ถูกเปลี่ยน address อย่างถาวรแล้ว ซึ่งหมายความว่า ranking ต่างๆที่หน้านี้เคยมี ควรจะถูกย้ายตามไปที่ new address ด้วย (ไม่เหมือนกันกับการเปลี่ยนชั่วคราว)
Alt tag
เป็น HTML attribute ของ IMG Tag หรือคำที่ใช้อธิบายรูปภาพที่จะไปรวมอยู่ในโค้ด HTML ของเรานั่นเอง และ tag/attribute ที่เราตั้งไว้จะมาแสดงผลให้เห็นที่หน้าเว็บไซต์ด้วยในกรณีที่รูปภาพเหล่านี้ไม่สามารถแสดงผลได้ เพื่อให้เห็นภาพ นี่คือตัวอย่างครับ
<img src=”clock.jpg” alt=”picture of a clock” />
และ Alt tags ยังมีส่วนช่วยเสริมในเรื่องของ SEO อีกด้วยนะ เวลาที่ search engines เช่น google ไม่สามารถเห็นรูปภาพของคุณได้ (อย่างน้อยมันก็มองไม่เห็นชั่วขณะ) แต่ว่าการใส่ alt tag ที่ตรงกับความหมายของรูปภาพก็ช่วยให้ google รู้ว่านี่คือรูปอะไร และจะช่วยให้รูปภาพของคุณติด Google ในหมวดรูปภาพอีกด้วย
Anchor text
ทุกๆ link นั้นประกอบไปด้วย 2 ส่วนประกอบ คือ web address ที่ลิงค์นั้นแสดงผลไปหาที่ปลายทางและอีกอย่างก็คือ anchor text ซึ่งเป็น text ที่ทำหน้าที่เป็น link นั่นเอง เช่นถ้าผมจะสร้าง link เพื่อส่งไปที่เว็บเกี่ยวกับการรับทำ SEO ของผม link ของผมคือ https://horriblemovienight.com/ และ anchor text คือ “ รับทำ SEO” หมายความว่าเมื่อเรากดที่ “รับทำ SEO” มันจะส่งคุณไปที่ link ปลายทางตาม address ที่ผมบอกไปนั่นเอง
Anchor texts ถือว่ามีส่วนสำคัญเลยทีเดียวสำหรับ SEO เมื่อไรที่คุณสร้าง link ส่งกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ อย่าลืมใช้คำที่เกี่ยวข้องเป็น anchor text ด้วยนะครับ
Backlinks
Backlink คือ link ที่ถูกวางไว้ตามเว็บไซต์อื่นๆ (และของคนอื่น) ที่แสดงผลกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ คงไม่มีใครไม่รู้ว่า backlinks เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับ SEO ยิ่งคุณมี backlinks ร่วมกับ anchor text ที่สัมพันธ์กันมากเท่าไร ยิ่งทำให้การทำ SEO ของคุณย่นระยะทางมากขึ้นเท่านั้น แปลว่าคุณจะไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นแน่นอน
Black hat SEO
ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆแหละ SEO ก็มีด้านมืดอยู่เหมือนกัน Black hat SEO ใช้เรียกแทนขั้นตอนการทำ SEO ที่รู้ๆกันว่าเป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากจรรยาบรรณหรือกฏทั่วไป เป็นทางลัดที่อาจช่วยให้อันดับเว็บของคุณขึ้น (หรือร่วง) ได้รวดเร็ว แต่ในระยะยาวสามารถส่งผลเสียต่อเว็บของคุณอาจร้ายแรงถึงการโดนแบนจาก google เลยก็ว่าได้
Canonical tag
เป็นส่วนหนึ่งของ HTML link ที่คุณหรือผู้เขียนเว็บใช้เพื่อบอก search engines ให้รู้เกี่ยวกับหน้า page ที่ได้สร้างขึ้นมาซ้ำๆกันหรือมีเนื้อหาที่คล้ายๆ กันหลายหน้า โดยที่เราจะต้องใส่ tag นี้ไว้ในส่วน HEAD ของ HTML หน้าตาก็จะประมาณนี้ครับ
หลักการก็คือ tag นี้จะบอกว่าหน้านี้เป็นหน้า copy ของหน้าที่อยู่ใน address ใน canonical tag (href) เพื่อที่เวลา search engine มาเห็นจะได้ไม่ rank หน้านี้แต่จะ transfer rank หรือส่งคะแนนทั้งหมดไปให้หน้าที่เราต้องการหรือที่เรียกว่า canonical page (คล้ายๆกับ 301 redirect)
Cloaking (page cloaking)
เป็นการทำให้ webpage แสดงผลต่างกันระหว่างการเข้าชมเว็บของ user ทั่วไปกับ search engines วิธีนี้ในหลักการอาจจะทำให้คุณมี rank ที่ดีสำหรับ keywords ที่ต้องการ โดยการแสดง optimized page แก่บรรดา spiders ที่ถูกส่งมาเก็บข้อมูลทั้งหลาย แต่สำหรับ user ทั่วไปจะเห็นเป็น content อีกแบบที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
แม้ว่าการใช้วิธีนี้อาจจะใช้ได้ผลในการทำการตลาด แต่ก็สามารถโดนลงโทษหนักถึงขั้นถูกแบนถ้าโดนจับได้เหมือนกันครับ
Deep linking
คือการสร้าง hyperlink ที่ส่งเข้าไปใน specific page หรือส่งไปที่รูปภาพในหน้าเว็บไซต์ต่างๆโดยตรง แทนที่จะส่งไปที่หน้าหลักหรือ home page เราเรียก links เหล่านั้นว่า deep links และการส่ง links (ด้วย anchor text ที่ดี) มาที่หน้าต่างๆของเว็บไซต์ช่วยให้ rank ของเว็บดีขึ้นด้วย
การใช้ deep links เพื่อเชื่อมไปสู่ mobile app ก็กำลังเป็นที่นิยม คุณคงเคยเจอเหมือนกันแหละ เวลาที่คุณกดที่ไป links ของร้านค้าแล้วมันส่งคุณตรงมาที่ app ของร้านเลย โดยไม่ต้องผ่าน web browser
Do-follow link
เป็นการทำ links ที่เชื่อมโยงเว็บไซต์หนึ่งไปอีกเว็บไซต์หนึ่งโดยปล่อยให้อันดับเว็บ (PR) นั้นสามารถไปตาม links ยังปลายทางได้ เท่ากับว่า links นั้นช่วยสร้างทั้ง PR และ backlink ให้กับเว็บไซต์ปลายทางได้ด้วย วิธีดูก็คือสังเกตที่ HTML ว่ามีคำว่า rel=”nofollow” อยู่หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็แสดงว่าเป็น do-follow
Domain name (and hosting)
Domain คือที่อยู่เฉพาะของคุณบน internet ยกตัวอย่างเช่น domain ของเว็บไซต์นี้คือ thaitopseo.co.th
ส่วน Hosting หรือ web host คือที่ๆ Domain เว็บไซต์ของคุณถูกเก็บหรือตั้งอยู่ใน hosting นั่นเอง ซึ่งคุณจำเป็นต้องมีพื้นที่จัดเก็บให้พอเพียงกับข้อมูลเนื้อหารวมถึงรูปภาพต่างๆในเว็บไซต์ของคุณ
Duplicate content
หากในเว็บไซต์ของคุณมี 2 หน้าที่มีเนื้อหาเหมือนกันหรือคล้ายกันมากๆ แสดงว่าคุณมี duplicate content ซึ่งเราเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อ SEO และ google ไม่ชอบสิ่งนี้
Keywords
คำนี้สื่อได้หลายความหมาย แต่ในมุมของ SEO แล้ว keywords หมายถึง คำหรือวลีที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์หรือหน้าที่กำหนดและส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำ SEO
ยกตัวอย่างเช่น ผมกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับ “การเลือกอุปกรณ์ทำสวนที่ดีที่สุด” main keywords ของผมควรจะเป็น “อุปกรณ์ทำสวน” นี่เป็นคำที่ผมต้องการให้ไปติดอันดับเพราะผมต้องการให้คนที่สนใจในอุปกรณ์ทำสวนค้นหาคำว่า “อุปกรณ์ทำสวน” แล้วเจอผมบน google
หรืออย่างการที่ผมเขียนบทความเกี่ยวกับคำศัพท์นี้ขึ้นมา main keywords ของผมควรจะเป็นคำว่า “คำศัพท์ SEO” เพื่อที่จะให้ผู้คนค้นเจอผมเมื่อต้องการหาบทความเกี่ยวกับคำศัพท์อ่าน เป็นต้น
Keyword density
หรือจะเรียกบ้านๆว่าความหนาแน่นของ keywords ก็ได้ วิธีคำนวนก็คือ ดูว่าเราใช้ keywords คำนี้บ่อยแค่ไหนในบทความ โดยนับจำนวนครั้งที่เราใส่ keywords นี้เข้าไปในบทความมาหารด้วยจำนวนคำทั้งหมดในบทความแล้วคูณด้วย 100 คุณจะก็จะได้ % ที่คุณใช้คำๆนี้
หลักการนี้เคยถูกเชื่อว่ามีผลต่อการ SEO มาก่อน ยิ่งมีคำๆนั้นมากก็แสดงว่ามันสมควรได้เป็น keywords ที่จะเอาไปจัดอันดับใน search engines แต่ดูว่าเหมือนปัจจุบันเจ้า search engines จะมีวิธีที่ซับซ้อนกว่านี้และวิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
Keyword stuffing
คือการใช้คำที่ไม่เป็นธรรมชาติซ้ำมาซ้ำมามากๆ สมมุติว่าคุณกำลังอ่านบทความใดๆอยู่ คุณอาจสังเกตได้ว่า คำว่า “เช่น” “และ” “หรือ” จะปรากฏอยู่บ่อยๆซึ่งมันดูเป็นธรรมชาติ แต่หากเปลี่ยนเป็นคำว่า “ปฏิทินดูดาว” หรือคำว่า “เครื่องเพาะเห็ดอัตโนมัติ” มาปรากฏซ้ำ มันออกจะดูจงใจไปหน่อย โดยเฉพาะเมื่อบทความนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งวิธีนี้มักจะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่ม Keyword density ให้กับคำที่ต้องการ
ในขณะที่ผมเชื่อว่าการใช้ Keyword density ไม่ได้ช่วยได้ดีเหมือนเมื่อก่อน การใช้วิธีเขียนยัดเยียดคำซ้ำลงไปมากๆหรือ Keyword stuffing ก็เหมือนกัน เครื่องมือตรวจจับของ google รู้ทันคุณและไม่ชอบสิ่งนี้แน่นอน
Latent Semantic Indexing (LSI)
LSI keywords คือ keywords ที่ให้ความหมายคล้ายๆกับ main keywords ของคุณ แต่ถูกถ่ายทอดด้วยภาษาที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า อย่างเช่น ถ้าคีย์เวิรด์หลักของคุณคือ “อุปกรณ์ทำสวน” และคุณใช้คำนี้บ่อยๆในบทความของคุณ ก็จะดีมากถ้าคุณใส่คำเสริมที่ให้ความหมายคล้ายๆหรือส่งเสริมกันเข้าไป เช่น ต้นไม้ สวน ผัก การปลูกต้นไม้ การทำสวน เป็นต้น
LSI keywords นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อคุณพยายามจะไต่ rank ใน search engines เพราะเมื่อบทความของคุณกำลังถูกวิเคราะห์และมองหา keywords อยู่ เจ้า LSI keywords เหล่านี้จะเป็นตัวสนับสนุนและช่วยเสริมให้เนื้อหาในบทความของคุณดูสมจริงและทำให้รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่ว่าคีย์เวิรด์ของคุณเป็นการสุ่มคำขึ้นมาโดยบังเอิญ
Linkbait
เหมือนกับการตกปลาด้วย links นั่นแหละ การสร้างเนื้อหาหรือพาดหัวอะไรที่กำลังเป็น viral content หรือเป็นกระแสอยู่ เพื่อดึงดูดให้มีการสร้าง links มากๆ การสร้าง linkbait เป็นสิ่งที่ยากถึงแม้ในหลักการมันอาจจะดูง่ายก็ตาม คุณอาจจะลองสร้างเนื้อหาอะไรที่ดูน่าตลกมากๆ หรือมีคุณภาพมากๆ ไม่ก็แจกอะไรฟรีๆ อาจะจะทำในรูปของ text, VDO, รูปภาพ หรือเสียงก็ได้
Link building
คือการสร้าง backlinks ส่งกลับมายัง page ของคุณ นับเป็นหลักที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เลยก็ว่าได้ ผมเชื่อว่าข้อนี้ทุกคนคงรู้อยู่แล้วละ การสร้างลิงค์มีทั้ง การแลก links, การซื้อ link แต่ที่ดีที่สุดคือการทำให้ links เข้ามาที่เว็บไซด์ของคุณโดยธรรมชาติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีคนเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณดีจริงๆ
Link farm
เป็นเหมือนเครือข่ายของเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงแต่ละเว็บเข้าหากันด้วย links เพื่อเพิ่มอันดับเว็บไซด์และค่า PageRanks
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการสร้าง link farm คุณอาจจะสร้างเว้บไซต์ขึ้นมา 4 วํบ โดยให้แต่ละเว็บอยู่บน server ที่ต่างกัน จากนั้นคุณใส่ link จากเว็บ 1 ไปเว็บที่ 2,3,4 และก็ใส่ link จากเว็บที่ 2 ไปยังเว็บที่ 1,3,4 ทำแบบนี้กับทั้ง 4 เว็บ หลักก็คือส่ง link จากทุกเว็บไซต์ไปยังทุกเว็บไซต์ที่คุณมี
4 เว็บไซต์อาจจะดูธรรมดาๆและไม่ได้ช่วยอะไร แต่ถ้าลองได้ทำมาเป็นร้อยหรือพันเว็บไซต์ (ซึ่งคงยากที่จะมีใครทำถึงขั้นนั้น) พลังของมันจะเพิ่มขึ้นมหาศาลเลยละครับ แต่แต่แต่ นี่คือตัวอย่างของการทำ black hat SEO นะครับ อย่าได้ลองเชียวถ้าคุณยังไม่อยากให้เว็บของคุณโดนลงโทษหรือโดนแบน
Link sculpting
จากการใช้ link “nofollow” attribute คุณสามารถทำให้ลิงค์เหล่านั้นไม่มีนัยยะในมุมของ SEO ได้ดังนั้นการใช้เทคนิคในการทำ dofollow และ nofollow จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบหรือ “sculpt” PageRank ได้ แต่ปัจจุบันนี้หลายคนเชื่อว่าเทคนิคนี้ไม่มีผลอะไร เพราะว่า google ได้ ปรับเปลี่ยนวิธีที่จะจัดการกับ nofollow link แล้ว
เขียนและแปลโดย : ตาโต Thai Top SEO